▣ ขณะยังมีไหมอยู่ ควรงดสระผมและระวังไม่ให้แผลโดนน้ำเวลาใช้โฟมล้างหน้า

▣ หลังตัดไหมแล้ว สามารถล้างหน้าและอาบน้ำได้อย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการใช้โฟมหรือเครื่องสำอางที่ระคายเคือง

▣ ควรกลับมาตัดไหมที่คลินิกภายในวันที่กำหนด (ประมาณ 5~7 วันหลังผ่าตัด) อย่าลืมมาตามนัด

▣ หลังตัดไหมแล้ว ควรงดแต่งหน้าบริเวณแผลอย่างน้อย 2 สัปดาห์

▣ หลังผ่าตัดอาจมีอาการบวมและรอยช้ำ 2~3 วันแรก แล้วจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง

▣ อย่างน้อย 2 สัปดาห์แรก ควรงดออกกำลังกายหนัก ซาวน่า อบไอน้ำ และควรงดดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ เพื่อช่วยให้แผลหายดีขึ้น

▣ หลังผ่าตัดประมาณ 2~3 สัปดาห์ แผลอาจรู้สึกแข็ง แต่จะค่อยๆ นิ่มขึ้นใน 3~6 เดือน

▣ อาจมีอาการเปลือกตาปิดไม่สนิทหรือหลับตายากชั่วคราว ต้องใช้แรงมากกว่าปกติ แต่จะค่อยๆ ดีขึ้น

▣ ผู้ที่มีผิวคล้ำและหนาอาจมีรอยแผลเป็นนูนขึ้นได้ในระยะแรก

▣ บริเวณดวงตาอาจแห้งหรือระคายเคืองเพราะพื้นผิวตาเปิดสัมผัสอากาศมากขึ้น อาจเกิดอาการตาแห้งได้

▣ อาจรู้สึกชา ตึง หรือเจ็บเล็กน้อยรอบแผล ซึ่งโดยมากจะหายเป็นปกติใน 3 เดือน

▣ ช่วงฟื้นตัวอาจทำให้รูปคิ้วดูไม่เท่ากันเพราะอาการบวมและกล้ามเนื้อตึง แต่จะค่อยๆ เข้าที่เป็นธรรมชาติเมื่อยุบบวม

▣ หากมีอาการเลือดออกมาก มีหนอง ปวดหรือร้อนบริเวณแผลมาก หรือมีอาการตามัว ควรติดต่อคลินิกทันที

[ข้อควรระวังทั่วไป]

▣ เทปหรือผ้าพันแผลที่ติดไว้หลังผ่าตัดมีไว้เพื่อช่วยตรึงแผลและบริเวณที่ผ่าตัด ห้ามลอกออกเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด

▣ โดยทั่วไปจะตัดไหมประมาณวันที่ 10~14 หลังผ่าตัด และควรระวังไม่ให้แผลโดนน้ำก่อนตัดไหม

▣ สามารถอาบน้ำแบบเร็วได้ แต่ควรงดเข้าห้องอบไอน้ำ ซาวน่า หรืออ่างอาบน้ำอย่างน้อย 3 สัปดาห์หลังผ่าตัด

▣ ระหว่างที่อาการบวมค่อยๆ ยุบ อาจเห็นผิวไม่เรียบเสมอบ้าง ซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นตามเวลา

▣ ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 เดือน เพราะจะรบกวนการฟื้นตัวและการสมานแผล

▣ ในช่วง 5 วันแรก ควรพักผ่อนให้มากที่สุดและหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวมาก หลังผ่าตัด 1 เดือน ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือท่าออกกำลังที่กดทับหน้าท้องโดยตรง

▣ หากใช้ยาสลบ อุปกรณ์จัดฟันหรือวีเนียร์ในปากอาจเสียหายได้

[การยกกระชับหน้าท้อง]

▣ หากต้องนอนนานกว่า 2 สัปดาห์ ควรหนุนหมอนใต้เข่าเพื่อให้ต้นขาและหลังอยู่ในมุมประมาณ 150 องศา ไม่ควรนอนราบหลังตรง 180 องศา เพราะจะช่วยให้แผลหายดีขึ้น

[การศัลยกรรมสะดือ]

▣ หลังผ่าตัด 3~4 วัน สามารถอาบน้ำได้โดยติดพลาสเตอร์กันน้ำบริเวณสะดือ

▣ เวลาสระน้ำห้ามดึงก๊อซหรือวัสดุที่ใส่ไว้ในสะดือออกเอง หลังอาบน้ำควรลอกพลาสเตอร์กันน้ำออกทันที

[การดูแลทั่วไป]

▣ ช่วง 1~2 วันแรกหลังผ่าตัดเป็นช่วงสำคัญที่สุด ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

▣ หลังผ่าตัด 2~3 วันแรก อาจมีอาการบวมและรอยช้ำได้ จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงเอง

▣ ในช่วง 3 วันแรก ควรประคบเย็นเพื่อช่วยลดบวมและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

▣ หลังผ่าตัดประมาณ 2~3 สัปดาห์ บริเวณแผลอาจรู้สึกแข็งตึงขึ้นได้ และจะค่อยๆ นิ่มลงใน 36 เดือน

▣ หลีกเลี่ยงการถูหรือขัดแผลแรงๆ ควรทำอย่างเบามือ

▣ งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ เพื่อช่วยให้แผลหายดีขึ้น

[การยกริมฝีปากบน]

▣ สามารถแต่งหน้าได้หลังตัดไหม ประมาณวันที่ 10 หลังผ่าตัด

▣ งดเข้าห้องซาวน่า อบไอน้ำ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากอย่างน้อย 3~4 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้แผลบวมและแผลแยกได้

▣ หลีกเลี่ยงการออกเสียงหรือขยับปากกว้าง เช่น การออกเสียง “โอ” ที่ทำให้ปากบนยืดออก ควรงดอย่างน้อย 1 เดือน

[การลดขนาดริมฝีปาก]

▣ ใช้ไหมละลายในการเย็บแผล โดยทั่วไปไหมจะละลายหรือหลุดเอง แต่หากผ่านไป 2 สัปดาห์แล้วยังมีไหมเหลืออยู่ ควรกลับมาตัดไหมที่คลินิก

▣ ภายใน 1 เดือนแรก ควรระวังอย่าอ้าปากกว้างเกินไป

▣ หลีกเลี่ยงการทำหัตถการใดๆ รอบริมฝีปาก (รวมถึงเลเซอร์) อย่างน้อย 2 เดือน

▣ อาจมีอาการชารอบริมฝีปากหลังผ่าตัด ซึ่งจะค่อยๆ กลับมาเป็นปกติภายในประมาณ 1 สัปดาห์

[อาการบวม]

▣ หลังผ่าตัด 2~3 วันแรก อาการบวมจะเพิ่มขึ้น แต่โดยทั่วไปใน 1~2 สัปดาห์ อาการบวมและแผลในปากจะยุบลงประมาณ 70% และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

▣ หลังผ่าตัดลดโหนกแก้ม อาจดูเหมือนแก้มตอบมากขึ้นเนื่องจากอาการบวม

[อาการเจ็บ]

▣ อาการเจ็บจะรู้สึกได้ 1~2 วันแรก แต่ไม่รุนแรง และจะค่อยๆ หายไปหลังวันที่ 3 หากเจ็บมากสามารถทานยาแก้ปวด Tylenol ได้ (หลีกเลี่ยง Aspirin หรือยาแก้ปวดชนิดอื่น)

[อาหาร]

▣ สามารถเริ่มดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มเบาๆ ได้หลังผ่าตัด 4 ชั่วโมง หลังออกจากโรงพยาบาล 1~2 วันแรก ควรทานอาหารเหลวอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ซุป ผลิตภัณฑ์นม ขนมปังเค้ก มันหวาน จากนั้นวันที่ 3~4 ค่อยเริ่มอาหารนิ่มทั่วไป

[วิธีดูแลหลังผ่าตัด]

▣ ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

▣ ควรทานยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามเว้น

▣ ระวังภายใน 2~3 วันแรก อาจมีเลือดออกได้ หากคางบวมมากหรือมีรอยช้ำผิดปกติให้รีบโทรติดต่อและมาโรงพยาบาล

▣ หากมีเลือดหรือของเหลวไหลออกจากจมูกหลังผ่าตัดโหนกแก้ม ให้เช็ดเบาๆ ห้ามสั่งจมูกแรง

▣ ควรงดทาน Aspirin วิตามินอี ฮอร์โมน อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด (ยกเว้น Tylenol ใช้ได้) เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น

▣ เพื่อลดอาการบวม 3 วันแรกควรนั่งหรือนอนโดยยกหัวสูง 15~20 องศา ใช้หมอนซ้อน 23 ใบ และหลีกเลี่ยงการนอนตะแคง

▣ ประคบเย็นใน 3~4 วันแรก ใช้ผ้าขนหนูหรือกอซรองก่อน อย่าเอาน้ำแข็งแตะผิวโดยตรงเพื่อป้องกันผิวไหม้

▣ ไหมที่เย็บในปากเป็นไหมละลาย จะหลุดเองใน 3~4 สัปดาห์

▣ แต่งหน้าหรือทาครีมบำรุงได้หลัง 1 สัปดาห์ขึ้นไป และควรหลีกเลี่ยงซาวน่า อ่างน้ำร้อน 2~3 สัปดาห์

▣ สามารถล้างหน้าได้หลัง 1 วัน แต่อย่าขัดแรง ประมาณ 3 สัปดาห์แรกควรล้างหน้าเบาๆ

▣ ควรหลีกเลี่ยงอาหารแข็งหรือเหนียวอย่างน้อย 3 สัปดาห์ เพราะการเคี้ยวจะใช้กล้ามเนื้อบนใบหน้า อาจทำให้กระดูกที่จัดใหม่เคลื่อน ใช้อาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ซุป แทน

▣ หากปากแห้งสามารถทาวาสลีนได้บ่อยตามต้องการ

▣ หลังทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่ม ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าเพื่อป้องกันการอักเสบ (ห้ามใช้ยาน้ำยาบ้วนปากที่แรงเกินไปเพราะอาจระคายเคืองแผล)

▣ แปรงฟันด้วยแปรงเด็กและระวังไม่ให้โดนแผล

▣ ควรใส่ที่รัดหน้า อย่างน้อย 24 ชั่วโมงต่อเนื่อง ช่วง 2~3 วันแรกอย่าให้แน่นเกินไป และสวมอย่างน้อย 1 สัปดาห์ จากนั้นใส่ต่อเนื่อง 1 เดือนเพื่อผลลัพธ์ที่ดี เวลานอนควรคลายให้หลวม

▣ หลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูด เพราะอาจเพิ่มแรงดันในปาก

▣ ทุกการผ่าตัดมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหรืออักเสบ ซึ่งผลลัพธ์อาจแตกต่างกันตามสภาพร่างกายของแต่ละคน

▣ หากผ่าตัดทางปาก อุปกรณ์จัดฟันหรือวีเนียร์อาจเสียหายได้

[การเสริมซิลิโคน (โหนกแก้ม หน้าผาก)]

▣ กรณีเสริมหน้าผาก แนะนำให้พันผ้าพันศีรษะไว้อย่างน้อย 4~5 วันหากไม่มีเหตุจำเป็นต้องถอดออก

▣ กรณีซิลิโคนคางหรือโหนกแก้ม ควรบ้วนปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อบ่อยๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

▣ บริเวณที่ใส่ซิลิโคนไม่ควรให้กระแทกหรือกดทับ และห้ามจับบ่อย

[การเอาซิลิโคนออก/กำจัดพังผืด]

▣ รอยแผลจะดูเด่นที่สุดประมาณ 2~3 เดือนแรก และจะค่อยๆ จางลงเมื่อผ่านไป 6 เดือนขึ้นไป

▣ ควรหลีกเลี่ยงการกระแทกหรือสัมผัสแผลด้วยมือ ระวังพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ

[ข้อควรระวังทั่วไป]

▣ หลังผ่าตัดควรงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อผลลัพธ์การติดของไขมันที่ดี ควรงดต่อเนื่องอย่างน้อย 2 เดือน การสูบบุหรี่จะลดการไหลเวียนโลหิต ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลเสียต่อการปลูกไขมัน

▣ การดูดไขมันไม่ได้กำจัดเซลล์ไขมันทั้งหมด ดังนั้นหากน้ำหนักขึ้นอีก บริเวณที่ดูดอาจกลับมาใหญ่ได้ ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายร่วมด้วย อาหารเค็มจะทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำมากขึ้น ทำให้บวมง่าย ถ้าอยากให้ยุบบวมไว ควรทานอาหารรสจืด

▣ อาจมีเลือดหรือน้ำยาที่ใช้ในการดูดไขมันไหลออกมาได้ในวันแรก ควรปูแผ่นรองที่คลินิกจัดให้ก่อนนอน

▣ เวลาชำระร่างกายควรติดพลาสเตอร์กันน้ำบริเวณแผลเย็บ และลอกออกหลังอาบน้ำเสร็จ

▣ โดยทั่วไปจะตัดไหมดูดไขมันประมาณวันที่ 7 กรุณากลับมาตรวจตามนัด

▣ อาจมีเลือดหรือตกค้างไหลออกมาภายใน 1~3 วันหลังผ่าตัด

▣ อาจมีอาการคลื่นไส้หรือเวียนศีรษะเล็กน้อยในวันแรกหลังผ่าตัด เพราะร่างกายกำลังขับยาสลบออกไป ควรดื่มน้ำมากๆ และหายใจลึกๆ จะช่วยฟื้นตัวได้ดี

▣ หากใช้ยาสลบ อุปกรณ์จัดฟันหรือวีเนียร์อาจเสียหายได้

[ดูดไขมัน]

▣ ควรใส่ชุดรัดกระชับตั้งแต่หลังผ่าตัดทันทีต่อเนื่องประมาณ 2~3 เดือน เพราะชั้นผิวและกล้ามเนื้อยังไม่แนบกันดี การใส่ชุดรัดจะช่วยให้แผลฟื้นตัวเร็ว ลดอาการบวม และช่วยให้ผิวกระชับ

▣ อาการบวมส่วนใหญ่จะดีขึ้นภายใน 2~3 สัปดาห์ แต่แรงโน้มถ่วงอาจทำให้อาการบวมไหลลงไปส่วนล่าง เช่น ข้อเท้าหรือเข่าได้ หากบวมมากให้ยกขาให้สูงขึ้น หรือสามารถถอดชุดรัดประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วใส่ใหม่ได้หากรู้สึกอึดอัด

▣ งดการออกกำลังกายหนักอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และควรเริ่มเบาๆ หลังผ่านไป 1 เดือน หากจำเป็นสามารถนวดเบาๆ เพื่อช่วยลดอาการบวมและผิวไม่เรียบได้

▣ ช่วง 2~3 วันแรกอาจมีอาการเจ็บเล็กน้อย ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

▣ หลังดูดไขมันควรกลับมาล้างแผลที่คลินิกในวันที่ 1 หากมาไม่ได้ สามารถเปลี่ยนก๊อซเอง (1~2 วันหลังผ่าตัด) และติดเดลี่แบนด์

▣ หากใช้ยาสลบ อุปกรณ์จัดฟันหรือวีเนียร์อาจเสียหายได้

[การปลูกไขมัน]

▣ อาการบวมและรอยช้ำจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1~2 สัปดาห์ เพื่อให้ยุบบวมเร็วขึ้น ควรประคบเย็นบริเวณแผล

▣ เวลาประคบควรระวังไม่ให้กดทับแรงจนไขมันที่ปลูกอัดแน่นเกินไป หากรู้สึกแสบร้อนให้ใช้เจลเย็นวางเบาๆ ห้ามถูหรือนวดแรง

▣ ช่วง 1 สัปดาห์แรกควรประคบเย็นให้บ่อยที่สุด จะช่วยให้บวมยุบไว แต่อย่ากดแรง

▣ แผ่นเทปฟื้นฟูที่แปะบนบริเวณปลูกไขมัน ควรติดไว้อย่างน้อย 4~5 วัน อย่าเพิ่งลอกออก

▣ ช่วงที่ไขมันยังติดอยู่ ควรงดการลดน้ำหนัก เพราะน้ำหนักลดมากจะทำให้ไขมันที่ปลูกยุบไปด้วย

▣ ไขมันจะเข้าที่ประมาณ 2~3 เดือนแรก อาจดูบวมอยู่ 1~2 สัปดาห์แรก และยังเปลี่ยนรูปหน้าได้อีก 1~2 เดือน หลังจากนั้นจึงควรพิจารณาว่าจะเติมครั้งที่ 2 หรือไม่

▣ สามารถล้างหน้าได้ทันทีหลังปลูกไขมัน แต่ควรอาบน้ำหลังตัดไหมในวันถัดไป

▣ ควรงดนอนคว่ำหน้าและงดนวดแรงบริเวณที่ปลูกไขมันประมาณ 2 เดือน เพราะอาจทำให้ไขมันเคลื่อนหรือติดไม่ดี

▣ แผ่นเทปฟื้นฟูที่แปะบนแผลควรลอกออกประมาณ 2~3 วันหลังทำ

[ดูดไขมัน+มัดล้ามเนื้อเหนียง]

▣ ระหว่างดูดไขมันและร้อยกล้ามเนื้อบริเวณคาง อาจมีแผลเล็กๆ ขนาด 2~2.5 ซม. ใต้คาง แผลนี้จะค่อยๆ จางลงใน 3 เดือน

▣ อาจมีรอยช้ำหรือเลือดคั่งได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคน โดยทั่วไปจะดูดซึมเองได้ภายใน 2 สัปดาห์ หากคงอยู่นาน แพทย์อาจใช้เข็มดูดออก

▣ การเดินเล่นเบาๆ สามารถทำได้ทันทีหลังผ่าตัด

▣ งดออกกำลังกายหนัก เช่น โยคะที่ต้องแหงนหน้า หรือท่าเหยียดยืดคอ ควรงดอย่างน้อย 3 เดือน ส่วนการออกกำลังทั่วไปแนะนำหลังผ่านไป 1 เดือน

▣ สามารถล้างหน้าได้ทันทีหลังผ่าตัด แต่ควรระวังไม่ให้เทปเปียกน้ำ

▣ หลังตัดไหมและลอกเทปประมาณสัปดาห์แรก หากไม่มีปัญหา ไม่จำเป็นต้องมาคลินิกอีก

▣ ควรใส่สายรัดใบหน้า (Face band) ต่อเนื่องประมาณ 1 เดือน เพื่อช่วยกระชับผลลัพธ์

▣ หลังลอกเทป ควรเริ่มทายาลดรอยแผลเป็นบริเวณแผลเพื่อให้แผลหายดีขึ้น

▣ เพื่อป้องกันรอยคล้ำบริเวณแผล ควรทาครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงแดดอย่างน้อย 6 เดือน

[การดูแลทั่วไปหลังผ่าตัด]

▣ หลังผ่าตัด 24~48 ชั่วโมงแรก จะรู้สึกเจ็บหน้าอกมากที่สุด แล้วอาการจะค่อยๆ ลดลง

▣ ยกเว้นการเดินเล่นเบาๆ ให้งดการออกกำลังกายหนัก เช่น แอโรบิก ฟิตเนส อย่างน้อย 4 สัปดาห์

▣ ควรงดเข้าห้องซาวน่า อบไอน้ำ หรืออ่างอาบน้ำร้อนจนกว่าจะผ่านไปอย่างน้อย 4 สัปดาห์

▣ ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 เดือน เพราะแอลกอฮอล์อาจกระตุ้นการอักเสบ ส่วนบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดหดตัว เสี่ยงต่อผิวคล้ำและแผลหายช้า

▣ ในช่วง 1~2 สัปดาห์ที่ยังเจ็บอยู่ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานยกของหนักหรือใช้แรงกายมาก ควรหยุดพักจนกว่าจะฟื้นตัวดี

▣ บริเวณแผลจะมีการเย็บทั้งด้านนอกและด้านในด้วยไหมละลายเพื่อป้องกันการแยกของแผล

▣ ระหว่างฟื้นตัวอาจมีไหมละลายโผล่ออกมาได้ หากเกิดขึ้นให้มาคลินิกเพื่อตัดไหมออก

▣ เวลาอาบน้ำควรติดพลาสเตอร์กันน้ำบริเวณแผล หลังอาบน้ำให้ลอกพลาสเตอร์ออก

▣ หากใช้ยาสลบ อุปกรณ์จัดฟันหรือวีเนียร์อาจเสียหายได้

▣ หากมีการผ่าตัดผ่านรักแร้ ควรงดการกำจัดขนใต้วงแขนอย่างน้อย 3 เดือน และบางรายควรรอถึง 6 เดือน

[การเสริมหน้าอก]

▣ ผู้ที่ผ่าตัดเสริมหน้าอกอาจต้องใส่บราปรับรูปทรงตามความเหมาะสม จากนั้นควรใส่สปอร์ตบราช่วยพยุงทรงอย่างน้อย 3 เดือน

▣ หากมีการใส่สายระบายเลือด ให้ระวังไม่ให้วาล์วปิดผิดตำแหน่ง โดยทั่วไปจะถอดออกในวันถัดไป

▣ ควรใช้หมอนหนุนให้หน้าอกสูงกว่าระดับหัวใจ ช่วยลดบวมและบรรเทาอาการเจ็บ หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือคว่ำ ควรนอนหงายตรงอย่างน้อย 4 สัปดาห์เพื่อให้เนื้อเยื่อหน้าอกเข้าที่

▣ วันที่ 2 หลังเสริมหน้าอกจะถอด PCA (เครื่องฉีดยาแก้ปวด) ได้ ถ้าไม่สะดวกมาคลินิก สามารถถอดเองได้ (จะมีอุปกรณ์และคำแนะนำให้) แล้วนำกลับมาในวันนัดตรวจวันที่ 7

▣ ยาลดการเกิดพังผืดรอบซิลิโคน (Singulair) ให้เริ่มทานหลังจากทานยาปฏิชีวนะครบ 7 วันแล้ว ในวันที่ 8

[การยกกระชับหน้าอก]

▣ การตัดไหมจะทำประมาณวันที่ 10~14 และควรระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ

▣ 5 วันแรกหลังผ่าตัดควรพักผ่อนให้มากที่สุดและหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวเยอะ

▣ ช่วง 2 สัปดาห์แรก หากต้องนอนนาน ควรวางหมอนใต้เข่าให้ต้นขาและหลังอยู่ในมุมประมาณ 150 องศา เพื่อไม่ให้หลังตึงเกินไป การนอนราบหลังตรง 180 องศาไม่เหมาะกับการสมานแผล

▣ หลังผ่าตัดอาจทำให้ประสาทรับความรู้สึกชั่วคราวลดลง หากประคบร้อนหรือเย็นเสี่ยงต่อการเกิดแผลพุพองหรือผิวไหม้ จึงควรงดการประคบร้อน/เย็นและงดนวด

[การลดขนาดปานนม]

▣ อาจมีเลือดซึมหรือสะเก็ดแผลบริเวณที่ผ่าตัด หากเกิดสะเก็ดห้ามแกะหรือขูดออกเอง

▣ การลดขนาดปานนมเป็นการผ่าตัดที่มีการเย็บปิดแผล จึงอาจเกิดรอยแผลเป็นได้ ในระยะเริ่มแรกแผลจะดูนูนและแดง แต่จะค่อยๆ จางลงตามเวลา ถึงแม้รอยแผลจะไม่หายสนิท 100%

▣ ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งควรทานให้ครบตามเวลา หากมียาประจำตัว เช่น ยาความดัน เบาหวาน ตับอักเสบ ฯลฯ ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้า

▣ วันที่ 7~10 หลังผ่าตัดควรกลับมาตัดไหม และแนะนำให้ซื้อเจลลดรอยแผลเป็น No Scars Gel ทาทุกวัน วันละ 2 ครั้ง (เช้า/เย็น) หากต้องออกนอกบ้านควรทา DermaTix Ultra (หรือ ScarDerm Ultra) บางๆ ทับด้วย

[การผ่าตัดดึงหน้า/ยกกระชับคอ]

[การสระผม]

▣ สามารถสระผมได้ในวันที่ 5 แต่ควรสระอย่างเบามือ ห้ามนวดหรือถูหนังศีรษะแรงๆ และหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนแผลโดยตรง ให้ใช้ฟองแชมพูและน้ำไหลผ่านเบาๆ

[ท่านอน]

▣ ควรนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงประมาณ 30 องศาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อช่วยให้อาการบวมยุบได้เร็วขึ้น

[สายรัดหน้า]

▣ ที่รัดหน้าไม่ควรรัดแน่นเกินไป ให้รัดพอให้รู้สึกกระชับเบาๆ สวมต่อเนื่องอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และถ้าในระหว่างวันสวมไม่ได้ ควรสวมขณะพักผ่อนหรือนอนหลับต่อเนื่องอีก 1 เดือน

▣ ช่วยลดอาการบวมและช่วยให้เห็นผลยกกระชับเร็วขึ้น

[แอลกอฮอล์/บุหรี่]

▣ แอลกอฮอล์และบุหรี่จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดีและเพิ่มสารพิษในร่างกาย

▣ นิโคตินในบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดหดตัว เสี่ยงต่อการเกิดเนื้อตายและแผลแยก ควรงดสูบอย่างเคร่งครัดอย่างน้อย 1 เดือน และแนะนำให้งดต่อเนื่องถึง 3 เดือน งดดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน

[การออกกำลังกาย]

▣ งดการยืดเหยียด (stretching) คอและไหล่ อย่างน้อย 3 เดือน เพราะอาจทำให้ใบหน้าถูกดึงโดยไม่รู้ตัว

▣ การออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อ เช่น ฟิตเนส พิลาทิส โยคะ จะทำให้กล้ามเนื้อศีรษะหดตัว ส่งผลไม่ดีต่อแผลเป็น

▣ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมากภายใน 3 เดือน เพราะอาจทำให้แผลเป็นแดงและระคายเคือง หากเกิดอาการนี้ให้พักและประคบเย็น

▣ การเดินเล่นเบาๆ ช่วยลดบวมได้ดี หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์สามารถเริ่มเดินบ่อยๆ ได้

[ยาทาแผล]

▣ กลับมาตัดไหมที่คลินิกในวันที่ 7~9 หลังตัดไหมแล้วให้ซื้อเจลทาแผล เช่น No Scars Gel

  1. ทาวันละ 2 ครั้ง (เช้าหลังล้างหน้า + เย็นก่อนนอน)

  2. หากต้องออกนอกบ้าน ควรทาเดอร์มาติกส์อัลตร้า (หรือสการ์ดัมอัลตร้า) บางๆ ทับเจลด้วย

[ครีมกันแดด]

▣ รังสี UV เป็นศัตรูสำคัญของแผลเป็น ควรทาเดอร์มาติกส์อัลตร้าให้แห้งก่อน แล้วทาครีมกันแดดซ้ำบริเวณแผลด้วยทุกครั้งที่ทาหน้า

[อื่นๆ]

▣ หากใช้ยาสลบ อุปกรณ์จัดฟันหรือวีเนียร์ในปากอาจเสียหายได้

[ลดขนาดหน้าผาก/ยกกระชับหน้าผาก]

▣ หลังผ่าตัดอาจมีอาการบวมและรอยช้ำบริเวณหน้าผากและเปลือกตา ประมาณ 7~10 วันจะยุบลง

▣ หลังผ่าตัดควรนอนให้ศีรษะสูงกว่าหน้าอกและประคบเย็นต่อเนื่อง 3~4 วัน

▣ งดดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพราะจะทำให้แผลหายช้า หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรงดอย่างน้อย 4 สัปดาห์

▣ ควรนอนหงายตรง 4 สัปดาห์แรกและงดจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ นวดหน้ากดจุด อย่างน้อย 6 สัปดาห์

▣ สามารถล้างหน้าได้ทันที แต่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้แชมพูและน้ำสัมผัสแผลโดยตรง ด้านบนศีรษะควรงดสระ 5 วัน ด้านหลังศีรษะควรงด 2 วัน และควรสระผมอย่างอ่อนโยน

▣ พักผ่อนให้เพียงพอและทานวิตามินซีเพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟู

▣ สำหรับการผ่าตัด ENDO (ยกหน้าผาก) หลังผ่าตัดวันที่ 2 สามารถถอดผ้าพันเองได้ และให้ใส่ที่รัดหน้า 1 สัปดาห์

[การยกกระชับ 360]

[อาการบวม/การฟื้นตัว]

▣ หลังผ่าตัดควรนอนให้ศีรษะสูงกว่าหน้าอกและนอนหงายตรงอย่างน้อย 1 สัปดาห์

▣ อาจมีอาการคลื่นไส้หรือเวียนศีรษะ 1 วันแรก เพราะร่างกายกำลังขับยาสลบ ควรดื่มน้ำมากๆ และหายใจลึกๆ เพื่อช่วยฟื้นตัว

▣ ประคบเย็นต่อเนื่อง 45 วัน บริเวณที่ผ่าตัดอาจมีรอยช้ำและบวมแต่จะยุบลงใน 710 วัน

[อาการปวดหัว]

▣ อาจมีอาการปวดหัวได้บ้างหลังผ่าตัด ส่วนใหญ่จะหายภายใน 1 สัปดาห์ หากปวดมากสามารถทานยาแก้ปวดหรือพาราเซตามอลได้

[การล้างหน้า]

▣ สามารถล้างหน้าได้ตั้งแต่วันถัดไป โดยยังติดแผ่นปิดแผลฟื้นฟูผิวอยู่ หากแผ่นหลุดให้เปลี่ยนใหม่ อย่าดึงออกเอง (แผ่น DuoDERM ควรติดประมาณ 1 สัปดาห์)

▣ แนะนำให้สระผมหลังทำ 23 วัน และงดซาวน่า อ่างน้ำร้อน 12 สัปดาห์

[วิธีดูแลหลังผ่าตัด]

▣ หลังทำควรงดนวดหน้าแรงๆ หรือกระแทกใบหน้าประมาณ 1~2 เดือน

▣ หลังทำ 3~4 วัน สามารถออกกำลังกายเบาๆ เพื่อช่วยเผาผลาญไขมันที่สลายแล้วได้

▣ ระหว่างฟื้นตัวควรงดเคี้ยวของแข็งหรือขยับใบหน้าแรงๆ และควรงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 เดือน

▣ งดวิ่ง ว่ายน้ำ นวดกดจุด อย่างน้อย 6 สัปดาห์ พักผ่อนให้เพียงพอและทานวิตามินซีเพื่อช่วยสร้างคอลลาเจนและฟื้นตัว

▣ วันที่ 4 ถอดเทปเองได้ และวันที่ 7 หรือ 10 ให้มาตัดไหมที่คลินิก ใส่ที่รัดหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์

[อาการบวม]

▣ หลังผ่าตัดอาจมีอาการบวมและรอยช้ำประมาณ 2~3 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะหายไปภายใน 2 สัปดาห์

▣ ระหว่างนี้ควรนอนหนุนหมอนสูงให้ใบหน้าอยู่สูงกว่าหัวใจ จะช่วยลดอาการบวมได้ดีขึ้น และควรนอนยกศีรษะสูง

▣ หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้าหรือก้มศีรษะลงต่ำ

[การประคบเย็น]

▣ ในช่วง 3 วันแรกหลังผ่าตัดควรประคบเย็น ช่วยให้หลอดเลือดฝอยบริเวณเปลือกตาหดตัว ลดรอยช้ำและอาการบวม

▣ ควรใช้ผ้ากอซสะอาดวางทับก่อนเพื่อไม่ให้เจลเย็นสัมผัสผิวโดยตรง

▣ ทำวันละ 5~6 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที

[การรักษาความสะอาด]

▣ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดการอักเสบ หลังผ่าตัดทำในสภาพปลอดเชื้อจึงปลอดภัย แต่หากดูแลไม่สะอาดอาจเกิดการติดเชื้อได้

▣ หากเกิดการอักเสบ อาจทำให้รอยแผลหายไม่สวยหรือกระทบต่อรูปตาสองชั้นได้

▣ ห้ามจับหรือถูแผลด้วยมือหรือกอซที่ไม่สะอาด

[รอยแผลเป็น]

▣ รอยแผลอาจเห็นได้ชัดประมาณ 2 สัปดาห์ แต่จะค่อยๆ จางลงและดูเป็นธรรมชาติใน 1~3 เดือน

▣ บริเวณแผลอาจดูแดงอยู่หลายสัปดาห์ แต่จะดีขึ้นตามเวลา

▣ ห้ามใช้ยาทาแผลเป็นเอง ให้ใช้ยาป้ายตาที่ทางคลินิกจัดให้เท่านั้น

[ยาที่ต้องรับประทาน]

▣ รับประทานเฉพาะยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง ยาจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ ลดบวม และบรรเทาอาการเจ็บหลังผ่าตัด

[การออกกำลังกาย]

▣ เดินเบาๆ สามารถทำได้หลังผ่าตัด 2~3 วัน ส่วนแอโรบิก ฟิตเนส ว่ายน้ำ ซาวน่า ควรรออย่างน้อย 1 เดือน

[กรีดตาสองชั้น]

▣ ตัดไหมในวันที่ 5 และเริ่มล้างหน้าได้ในวันถัดไป

▣ ห้ามถูหรือล้างแผลแรงเกินไป

▣ สามารถแต่งหน้าได้ตั้งแต่วันถัดไปหลังตัดไหม แต่เมคอัพเข้มควรเริ่มหลังผ่าตัด 2 สัปดาห์

▣ ทายาป้ายตาบริเวณแผล วันละ 3~4 ครั้ง ใช้สำลีก้านทาบางๆ ต่อเนื่อง 7 วัน

[เย็บตาสองชั้นแบบไม่กรีด]

▣ แบบเย็บไม่กรีดจะไม่เห็นรอยแผลชัด แต่บริเวณที่มีไหมฝังอาจเกิดตุ่มสิวแข็งเล็กๆ ได้ หากเกิดสามารถมาที่คลินิกเพื่อเอาออกได้

▣ 2 วันแรกควรหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนน้ำหรือเหงื่อ แต่งหน้าได้หลัง 2~3 วัน แต่เมคอัพเข้มควรรออย่างน้อย 2 สัปดาห์ และควรล้างออกเบาๆ

▣ ทายาป้ายตาบริเวณแผล วันละ 3~4 ครั้ง ใช้สำลีก้านทาบางๆ ต่อเนื่อง 7 วัน

[แก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (กรีด/ไม่กรีด)]

▣ แบบไม่กรีดจะไม่เห็นรอยแผลชัด แต่บริเวณที่มีไหมฝังอาจเกิดตุ่มสิวแข็งเล็กๆ ได้ สามารถมาเอาออกที่คลินิกได้

▣ เริ่มล้างหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 4 แต่งหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 4 และเมคอัพเข้มรออย่างน้อย 3 สัปดาห์ ควรล้างออกอย่างระมัดระวัง

▣ กรณีไม่กรีด: ทายาป้ายตาบริเวณแผล วันละ 34 ครั้ง ใช้สำลีก้านทาบางๆ ต่อเนื่อง 5 วัน
▣ กรณีกรีด: ทายาป้ายตาบริเวณแผล วันละ 34 ครั้ง ใช้สำลีก้านทาบางๆ ต่อเนื่อง 7 วัน

[ศัลยกรรมเปิดหัวตา]

▣ สีรอยแผลอาจเปลี่ยนได้หลายระยะ ช่วงแรกอาจเป็นสีแดง ประมาณ 1 เดือนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือแดงเข้ม แล้วคงสีไว้สักระยะ เมื่อผ่านไป 6 เดือนขึ้นไป สีจะจางใกล้เคียงผิวหรือเป็นสีขาว ทำให้ดูไม่เด่น

▣ ตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด อาจรู้สึกว่าบริเวณแผลแข็งและนูน ช่วง 2~3 เดือนแรกจะชัดขึ้น แล้วค่อยๆ นุ่มลงเมื่อผ่านไปกว่า 6 เดือน

▣ อาจมีน้ำตาไหล ขี้ตาออกง่าย แสบตาหรือมองมัวได้เล็กน้อย แต่โดยทั่วไปจะไม่กระทบการมองเห็นและจะดีขึ้นภายใน 1~2 สัปดาห์

[ศัลยกรรมเปิดหางตา]

▣ ตาขาวอาจแดงมากประมาณ 2 สัปดาห์ กรณีรุนแรงอาจนานถึง 3~4 สัปดาห์

▣ อาจมีเยื่อบุตาบวมคล้ายไข่ขาวโผล่ออกมา โดยทั่วไปจะดีขึ้นใน 12 สัปดาห์ กรณีรุนแรงอาจใช้เวลา 2~3 สัปดาห์ หรือหายช้าสุด 2~3 เดือน

▣ การเปิดหางตาไม่สามารถทำให้เส้นใต้ตาเป็นเส้นตรงได้ เพราะมีข้อจำกัดทางโครงสร้างของตา ผลลัพธ์อาจต่างกันไปในแต่ละคน

▣ จะมีการเย็บด้านในด้วยไหมละลายร่วมกับการเย็บภายนอกเพื่อป้องกันแผลเปิด

▣ ระหว่างฟื้นตัวอาจมีไหมละลายดันออกมาได้ แนะนำให้มาตัดไหมที่คลินิก

[กำจัดไขมัน/จัดเรียงไขมันใต้ตา]

▣ เริ่มล้างหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 4 แต่งหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 4 และเมคอัพเข้มรออย่างน้อย 3 สัปดาห์ ควรล้างออกอย่างเบามือ

[ศัลยกรรมหนังตาบน/หนังตาล่าง]

▣ ตัดไหมในวันที่ 5 และเริ่มล้างหน้าได้ในวันถัดไป

▣ แต่งหน้าได้ตั้งแต่วันถัดไปหลังตัดไหม แต่เมคอัพเข้มควรเริ่มหลังผ่าตัด 2 สัปดาห์

▣ ทายาป้ายตาบริเวณแผล วันละ 3~4 ครั้ง ใช้สำลีก้านทาบางๆ ต่อเนื่อง 7 วัน

[ข้อควรระวังก่อนผ่าตัด]

▣ หากใช้ยาปลูกผม Minoxidil (ไมโนซิล, ม็อกซิดิล) ให้หยุดใช้ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 3~4 วัน

▣ ในเย็นวันก่อนผ่าตัดและเช้าวันผ่าตัด ควรสระผมให้สะอาดและงดใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมทุกชนิด

▣ ควรงดรับประทานวิตามินทุกชนิดที่มีวิตามินอี แอสไพริน หรือสารกันการแข็งตัวของเลือด เช่น Ginkgo biloba อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด

▣ ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 3 วันก่อนผ่าตัด

▣ ในการปรึกษากับแพทย์ก่อนผ่าตัด ควรแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่กำลังรับประทานอยู่ให้ครบถ้วน (หากรับประทานยาความดันโลหิตสูงหรือยาควบคุมเบาหวาน ให้ทานต่อไปจนถึงวันผ่าตัดและหลังผ่าตัดเช่นเดิม)

▣ ไม่ควรตัดผมสั้นจนเกินไป ด้านหลังศีรษะควรยาวอย่างน้อย 3 ซม.

▣ ในวันผ่าตัดควรรับประทานอาหารเบาๆ

▣ อาจได้รับยาคลายกังวลในวันผ่าตัด จึงไม่ควรขับรถเอง

▣ ควรเตรียมหมวกที่สามารถปกปิดบริเวณปลูกผมได้ และควรเลือกหมวกที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป

▣ หากมีผมหงอกเยอะ ควรย้อมผมด้านหลังศีรษะให้เป็นสีดำประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด

[ข้อควรระวังหลังผ่าตัด]

▣ ควรสระผมเบาๆ ในท่ายืนเช้า-เย็น โดยห้ามขัดหรือถูบริเวณที่ปลูกผม และควรใช้น้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงน้ำร้อน ให้ล้างน้ำให้ไหลผ่านเบาๆ

▣ ในสัปดาห์ที่ 2 หากมีสะเก็ดแผลบริเวณหนังศีรษะที่ปลูกผม ให้ฟอกแชมพูทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีเพื่อให้สะเก็ดนุ่มแล้วค่อยๆ เอาออกอย่างเบามือ ห้ามขัดแรงหรือฝืนลอกออก เพราะอาจทำให้กราฟต์ผมหลุดได้

▣ หลังจากผ่านไป 1 เดือน สามารถนวดเบาๆ ระหว่างสระผมบริเวณที่ปลูกได้ และหลังสระควรเป่าผมด้วยลมเย็นหรือลมอุ่น หลีกเลี่ยงการเป่าด้วยลมร้อน

▣ ควรทายาที่บริเวณด้านหลังศีรษะที่เก็บกราฟต์เท่านั้น ทาวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น จนถึงวันก่อนตัดไหม (หากเป็นวิธีไม่ต้องผ่าตัดควรทาต่อเนื่อง 2 สัปดาห์)

▣ ควรงดซาวน่า ห้องอบไอน้ำ การออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมาก หรือการก้มศีรษะมากเกินไปจนถึง 1 เดือนหลังปลูก เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนต่อบริเวณปลูกผม

▣ ควรนอนโดยให้ศีรษะตั้งตรง

▣ หากไปทำผมที่ร้าน ควรทำเฉพาะตัดผมหรือสระผม หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์หรือเคมีอื่นๆ

▣ ยาปลูกผมชนิดทา เช่น Minoxidil การดูแลหนังศีรษะหรือฉีดบำรุง สามารถเริ่มได้หลังผ่าตัดประมาณ 1 เดือน วิตามินสามารถเริ่มได้หลังผ่าตัด 3 วัน และยาลดผมร่วงสามารถเริ่มได้หลังตัดไหม

[อาการบวม]

▣ เนื่องจากลักษณะของการทำเลเซอร์ Accusculpt อาจทำให้เกิดอาการบวมหลังทำได้

▣ โดยทั่วไปอาการบวมมากจะคงอยู่ประมาณ 3 วันถึง 1 สัปดาห์ และอาการบวมเล็กน้อยอาจยาวนานได้ถึงประมาณ 1 เดือน

▣ การที่เส้นใยยืดหยุ่นใต้ผิวหนังจะสร้างตัวใหม่ต้องใช้เวลาประมาณ 2~3 เดือน ทำให้ผลลัพธ์จะเห็นชัดเจนขึ้นราวเดือนที่ 3 หลังทำ

[การฟื้นตัว]

▣ ในการใส่ท่อเลเซอร์ จะมีการเจาะรูเล็กๆ บนผิวหนังเหมือนรอยเข็ม หลังทำอาจมีรอยคล้ายรอยบีบสิวเล็กๆ อยู่ประมาณ 1 สัปดาห์

▣ หลังทำทันทีอาจรู้สึกตึงหรือแน่นๆ ซึ่งเป็นกระบวนการฟื้นตัวตามธรรมชาติ โดยทั่วไปจะค่อยๆ หายไปเองภายในประมาณ 2 สัปดาห์

[การล้างหน้า]

▣ สามารถล้างหน้าได้ตั้งแต่วันถัดไปหลังทำ ควรล้างอย่างระมัดระวังขณะยังติดแผ่นปิดแผลอยู่ หากแผ่นหลุดควรเปลี่ยนใหม่ อย่าดึงออกเอง (ควรติดแผ่นปิดแผลฟื้นฟูผิว เช่น DuoDERM ประมาณ 1 สัปดาห์)

▣ สามารถสระผมได้หลังทำประมาณ 23 วัน และควรงดซาวน่า อ่างอาบน้ำร้อนประมาณ 12 สัปดาห์

[ข้อควรระวังอื่นๆ]

▣ หลังทำเลเซอร์ 1~2 เดือนแรก ควรงดนวดหน้าแรงๆ หรือการกระแทกที่ใบหน้า

▣ หลังทำไปแล้วประมาณ 3~4 วัน สามารถเริ่มออกกำลังกายเบาๆ ได้ เพราะจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไขมันที่สลายแล้วได้เร็วขึ้น

▣ ระหว่างพักฟื้นควรงดการเคี้ยวอาหารแข็งหรือการขยับใบหน้าแรงๆ เพื่อลดการระคายเคือง

--